ต้นไม้ของฉัน : ชีววิทยา(ว ๓๒๒๔๒)
วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556
โครงสร้างของรากตามภาคตัดขวาง
เมื่อนำรากเป็นตัดตามขวาง แล้วส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะสามารถมองเห้นโครงสร้างภายในของรากพืชได้ดังต่อไปนี้
วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556
ข้อมูลเชิงพฤกษศาสตร์ของมะละกอ
มะละกอ
ชื่อวิทยาศาสตร์: Carica papaya
L.
ชื่อสามัญ: Papaya, Melan Tree, Paw Paw
ชื่อสามัญ: Papaya, Melan Tree, Paw Paw
ชื่ออื่น: ก้วยลา (ยะลา), แตงต้น
(สตูล), มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ), มะเต๊ะ (มาเลย์-ปัตตานี), ลอกอ (ภาคใต้), บักหุ่ง
(นครพนม-เลย)
วงศ์: CARICACEAE
วงศ์: CARICACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ไม้ล้มลุกอายุหลายปีขนาดใหญ่ อายุหลายปี สูง 2-8 ม. ลำต้นตั้งตรงมักไม่แตกกิ่ง ไม่มีแก่น ต้นอวบน้ำ มีรอยแผลเป็นของก้านใบที่หลุดร่วงไป มีน้ำยางสีขาวทั่วลำต้น
ใบ ใบเรียงสลับรอบต้นบริเวณยอด ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือกว้าง ยาว 25-60 ซม. โคนใบเว้า ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเว้าเป็นแฉกลึก 7-11 แฉก และจักฟันเลื่อย ก้านใบยาว 25-90 ซม. เป็นท่อกลวงยาว
ดอก ดอกช่อสีขาวนวล มีกลิ่นหอม ออกที่ซอกใบ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกแยกเพศ ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกยาว กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม. เกสรเพศผู้มี 10 อัน ดอกเพศเมียและดอกสมบูรณ์เพศออกเดี่ยวหรือ 2-3 ดอก กลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้
ผล ผลเป็นผลสดรูปยาวรี ปลายแหลม ผลดิบมีเนื้อสีขาวอมเขียว ผลสุกมีเนื้อสีแดงส้ม เนื้อหนาอ่อนนุ่ม รสหวาน มีเมล็ดมาก รูปไข่สีน้ำตาลดำ ผิวขรุขระ มีถุงเมือกหุ้ม
การปลูกมะละกอ
เทคนิคการปลูกมะละกอ
การเตรียมต้นกล้า
มะละกอไม่เหมาะที่จะหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง เนื่องจากเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาในขั้นแรกมาก เพราะพื้นที่กว้างขวางและต้นกล้าที่งอกใหม่ๆ ต้องการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้น การเตรียมต้นกล้ามะละกอให้แข็งแรงก่อนแล้วจึงย้ายปลูกลงแปลงปลูก จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าการหยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง การเตรียมต้นกล้ามะละกออาจใช้วิธีต่าง ๆ แต่เทคนิคที่ได้ผลดี ทำให้เมล็ดพันธุ์เจริญเติบโตพร้อมเพรียงกัน ใช้สำหรับเพาะปริมาณมาก ๆ มีขั้นตอน ดังนี้คือ
1.เตรียมดินผสมที่จะใช้เพาะเมล็ดให้ร่วนโปร่ง โดยผสมดิน 3 ส่วน ปุ๋ย(ยักษ์เขียว)หรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน และ อินทรียวัตถุ(ขุยมะพร้าว) 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน หากใช้ปุ๋ยคอกนั้นควรเป็นปุ๋ยคอกเก่าที่สลายตัวแล้ว และไม่ร้อน ส่วนอินทรียวัตถุอาจใช้เศษหญ้าสับ แกลบหรือถ่านหรือเปลือกถั่วแทนก็ได แล้วแต่จะหาอะไรได้ในท้องถิ่น
2. นำดินที่ผสมแล้วใส่ถุงขนาด 5 x 8 นิ้ว ที่เจาะรูระบายน้ำ เรียบร้อยแล้วประมาณ 4 รู ตามจำนวนหลุมปลูกในพื้นที่ซึ่งเราคำนวณ
3. เพาะเมล็ดมะละกอ ให้นำเมล็ดพันธุ์มะละกอที่เตรียมไว้แช่ด้วยน้ำอุ่นประมาณ 40 องศาเซลเซียส ทิ้งไว้ 1-2 วัน จนเมล็ดจมอยู่ในน้ำ แล้วแยกเมล็ดเสียที่ลอยน้ำทิ้ง นำเมล็ดพันธุ์ที่จมน้ำมาคลุกด้วยชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดรา ไตรโค-แม็ก อัตรา 200 กรัมต่อเมล็ดพันธุ์ 1 ลิตร แล้วห่อด้วยผ้าสำลีหรือผ้าขาวม้าเปียก คลุมด้วยกระสอบป่าน หรือบ่มไว้ในถาดหรือภาชนะตามสะดวก เปิดกระสอบรดน้ำวันละครั้งให้พอชุ่ม(อย่าให้แฉะหรือน้ำขัง)หลังจากนั้นประมาณ 4-5 วัน(เมล็ดพันธุ์ที่ดีจะงอกเร็ว) รากจะเริ่มแทงออกจากเปลือก ให้คีบเมล็ดที่รากยาวประมาณ 1-3 มิลลิเมตร มาหยอดลงในถุงชำ โดยให้ฝังลงในดินให้ลึกประมาณครึ่งเซนติเมตร เกลี่ยดินปิด ถุงละ 5 เมล็ด ส่วนเมล็ดที่เหลือซึ่งรากยังไม่งอก ให้ห่มผ้าและรดน้ำเหมือนเดิม เปิดผ้าวันเว้นวัน หรือ ทุกวัน เพื่อคีบเมล็ดมาเพาะตามขั้นตอนด้านบน จนหมด
4.นำถุงชำที่หยอดเมล็ดตามขั้นตอนที่ 3 ไปตั้งในโรงเรือนกลางแจ้งที่เตรียมไว้ ตั้งเรียงไว้กลางแจ้งในบริเวณที่สามารถให้น้ำได้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน รดน้ำให้ชุ่มทุกเช้าเย็น หลังปลูก
5. เมื่อต้นมะละกอมีใบจริง 2-3 ใบ ให้เลือกกล้าต้นที่แข็งแรงเอาไว้ถอนต้นที่อ่อนแอออก เหลือเพียง 3 ต้น หลังจากนั้น ให้ใช้ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดรา ไตรโค-แม็ก ฉีดพ่นทุก ๆ 10-14 วัน สลับกับการใช้ชีวภัณฑ์ปองกันกำจัดแมลง เมทา-แม็ก ผสมยาจับใบ ฉีดพ่นทุก ๆ 5 วัน ครั้งแรกเมื่อตนกลาเริ่มงอกและหลังจากนั้น ช่วงระยะนี้ให้เพิ่มความแข็งแรงให้ต้นกล้าทำให้เจริญเติบโตได้เร็วขึ้นโดยให้ผสม ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตรา 30 ซีซีต่อน้ำ20 ลิตร ฉีดพ่นหรือผสมน้ำรดทุก ๆ 5-7 วัน จนกว่าจะย้ายกล้าลงแปลงปลูก
6. ย้ายกล้าปลูกหลังต้นมีอายุได้ 30-45 วัน หรือมีใบแท้ประมาณ 6-8 ใบ
การเลือกพื้นที่ปลูก
มะละกอเป็นไม้ผลที่ชอบดินร่วนปนดินทราย ดินเหนียวปนดินร่วน หรือดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี มีอินทรีย์วัตถุมาก ไม่ชอบน้ำขัง และควรมีหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตร ช่วงระดับความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสมคือ 5.5-7 มะละกอไม่ทนดินเกลือและไม่ทนลม แหล่งปลูกจึงควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมแรง ถ้าหลีกเลี่ยงในการเลือกพื้นที่ที่มีลมแรงไม่ได้ควรทำแนวไม้กันลมโดยรอบด้วย ระบบไร่ ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 3 x 3 เมตร หรือ 2.5 x 3 เมตร หรือ2.5x2.5 เมตรสำหรับระบบร่องน้ำ
การเตรียมแปลงปลูก
1. ไถพื้นที่ปราบวัชพืช 2 ครั้ง ๆ แรกด้วยไถ 3 ผาน หรือ 4 ผาน ครั้งที่ 2 ให้ย่อยดินให้เล็กด้วยผาน 7
2. วัดระยะแปลงปลูกตามความต้องการ ควรปักหลักเล็ก ๆ ห่างจากหลักหลุมปลูกอีก 2 หลัก โดยปักให้ห่างข้างละ 50 เซนติเมตร
3.ขุดหลุมปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยมให้ขอบหลุมห่างจากหลักกลางประมาณ 25 ซม. และขุดลึก 50 ซม. เอาดินขึ้นไว้บนปากหลุมอย่าให้โดนหลักเล็กทั้ง 2 ซึ่งจะเป็นหลักบังคับระยะปลูก
4. ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) อัตรา 0.5-1 กิโลกรัมต่อหลุม และคลุกเคล้าดินกับปุ๋ยให้เข้ากันดี แล้วใช้จอบกลบดินลงหลุมให้เสมอปากหลุม
การป้องกันศัตรูมะละกอ
เพลี้ยไฟ เพลี้ยไฟเป็นแมลงขนาดเล็กมาก มี 6 ขา มีลำตัวแคบยาว สีเหลืองซีด เมื่อโตเต็มที่มีปีกยาวบนหลังจึงบินได้และปลิวไปตามลม มักพบระบาดในช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูแลง อาการที่พบใต้ผิวใบจะแห้งเหี่ยว โดยเฉพาะเส้นกลางใบหรือขอบใบแห้งเป็นสีน้ำตาลถาเปนกับผลทำใหผลกรานเปนสีน้ำตาล ในฤดูฝนจะไม่ค่อยพบ และหากใช้ไบโอเฟอร์ทิลตามคำแนะนำก็จะพบได้น้อย ถ้าพบอาจใช้น้ำฉีดพ่นแรง ๆ ให้หล่นไป หรือหากมีการระบาดมากในช่วงที่อากาศแล้งจัดใช้ ชีวภัณฑ์ กำจัดแมลง เมทา-แม็ก ฉีดพ่น 2-3 ครั้งทุก 5-7 วัน
ไรแดง เป็นสัตว์ขนาดเล็กมี 8 ขา จะทำให้ผิวใบจะไม่เขียวปกติเกิดเป็นฝ้าด่าง ถ้าดูใกล้ ๆ จะพบตัวไรสีคล้ำ ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก เดินกระจายไม่ว่องไว หรืออาจเห็นคราบไรสีขาวกระจายอยู่ทั่วไป แมลงศัตรูธรรมชาติ คือ ด้วงเต่าเล็ก ตัวดำลำตัวรี ตัวอ่อนด้วงเต่าก็กินไรได้ดี หากใช้ไบโอเฟอร์ทิลตามคำแนะนำ จะป้องกันการระบาดของไรได้ดี หากช่วงใดมีอากาศร้อน อบอ้าว จะพบว่ามีไรระบาดมากให้ใช้ชีวภัณฑ์ กำจัดแมลง เมทา-แม็ก ฉีดพ่น 2-3 ครั้งทุก 5-7 วัน ในอัตรา 100 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร เพื่อตัดวงจรของการระบาด
แมลงวันทอง แมลงวันทองเป็นแมลงที่ทำลายผลไม้หลายชนิด โดยจะวางไข่ที่ผลขณะแก ทำให้หนอนที่ฟักเป็นตัว ทำลายเนื้อของผลเสียหาย เมื่ออยู่บนต้นหรือในขณะบ่มผล แมลงวันทองจะระบาดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ดินชื้นตัวเต็มวัยจะขึ้นจากดินมาผสมพันธุ์กัน ช่วงที่ทำความเสียหายให้กับเกษตรกรมากที่สุดคือ ระยะที่เป็นตัวหนอน การป้องกัน คือ เก็บผลมีสีเหลืองที่ผิว 5% ของพื้นที่ผิวผล ไม่ปล่อยให้สุกคาต้น ควรป้องกันก่อนเข้าทำลายโดยใช้ไบโอเฟอร์ทิล เป็นประจำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยขับไล่ป้องกันการเข้าทำลายได้ดี และหากมีการระบาดเป็นประจำทุก ๆ ปีให้ใช้เหยื่อโปรตีนผสม เมทา-แม็ก คลุกเหยื่อล่อ วางไว้เป็นจุด ๆ รอบบริเวณที่มีการระบาด เพื่อล่อให้แมลงมาตอม และสัมผัส เมทา-แม็ก แมลงที่มาสัมผัส จะติดโรค หยุดการเข้าทำลายผลผลิต เคลื่อนที่ช้าลงและตายภายใน 2-3 วัน และให้ป้องกันผลด้วยการห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือเก็บผลที่เน่าเสีย เนื่องจากแมลงและโรคออกจากแปลงปลูกฝังดินลึก ๆ หรือเผาไฟ
เอื้อเฟื้อข้อมูลโดย http://www.phkaset.com/default.asp?content=contentdetail&id=1691
กายวิภาคของใบ
โครงสร้างภายนอกของใบ
ใบมะละกอ จัดได้ว่าเป็นใบที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ มีส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่
1.ตัวใบ หรือ แผ่นใบ (Lamina หรือ Blade)
มีลักษณะเป็นแผ่นแบน และบาง ทำให้เซล์ที่มีคลอโรฟิลล์รับแสงให้ได้มากที่สุด ปลายสุดของตัวใบ เรียกว่า ยอดใบ (Apex) ลักษณะเรียว แหลม และมีหลายแฉก หรือมีรูปร่างใบแบบนิ้วมือ (Digitate) ด้านตรงข้ามกับยอดใบ จะเป็นส่วนโคนของตัวใบ เรียกว่า ฐานใบ (Base) ภายในตัวใบจะเห็นเส้นนูนเป็นสันขึ้นมา เส้นที่อยู่ตรงกลางแผ่นใบ เรียกว่า เส้นกลางใบ (Midrib) ทำให้ใบเกิดการแบ่งเป็นซีกซ้ายและขวา จากเส้นกลางใบมีเส้นย่อยที่แตกออกมา เรียกเส้นเหล่านั้นว่า เส้นใบ (Vein)มีการจัดเรียงตัวของเส้นใบ แบบตาข่ายหรือร่างแห (Netted venation) คือ เส้นใบย่อยที่แตกแขนงออกมามีลักษณะที่เล็กลงเรื่อยๆและสานตัวกันเป็นร่างแห
2. ก้านใบ (Petiole หรือ Stalk)
ก้านใบเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างใบกับลำต้น หรือกิ่ง ในมะละกอและพืชใบเลี้ยงคู่มีก้าบใบที่มีลักษณะค่อนข้างกลม ในก้าบใบมีท่อลำเลียงทั้งไซเลมและโฟลเอ็ม เชื่อมระหว่างใบกับลำต้นนอกจากนี้ ยังพบว่า ใบมะละกอมีการจัดเรียงตัวของใบในบริเวณตำแหน่งของลำต้น เป็นแบบสลับกันไปมา (Alternative) และใบมะละกอยังจัดว่าเป็นใบแบบเดี่ยว (Simplm Leaf) อีกด้วย
โครงสร้างภายในของใบ
เมื่อนำใบมะละกอมาตัดตามขวาง แล้วส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่าโครงสร้างภายในของใบประกอบด้วยชั้นต่างๆ ดังต่อไปนี้1.ชั้นเอพิเดอร์มิส (Epidermis)
เป็นลักษณะเหมือนเยื่อหุ้มใบที่อยู่ด้านนอกสุด มีทั้งด้านบน (Upper epidermis) และด้านล่าง (Lower epidermis) ประกอบด้วยเซลล์เพียงหนึ่งแถว และเป็นเซลล์ที่ไม่มีคลอโรพลาสต์ จึงทำให้เอพิเดอร์มิสทั้งบนและล่างไม่มีสีเขียว และมีสารคิวทินเคลือบทางด้านนอกใบอีกทีหนึ่ง เพื่อป้องกันการระเหยของนํ้าออกจากใบ เอพิเดอร์มิสบางเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นเซลล์คุม (Guard cell) อยู่ด้วยกันเป็นคู่ๆ รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว หรือไต เซลล์คุม 2 เซลล์จะหันหน้าด้านเว้าเข้าหากัน ทำให้เกิดช่องว่าง เรียกว่า ปากใบ หรือ รูใบ (Stomata) เซลล์คุมเป็นเซลล์ที่มีเม็ดสีคลอโรพลาสต์อยู่ภายใน ในขณะที่เอพิเดอร์มิสอื่นๆไม่มีคลอโรพลาสต์นอกจากนี้ ยังสังเกตได้ว่า ชั้นเอพิเดอร์มิสด้านล่าง (Lower epidermis) จะมีปากใบมากกว่าชั้นเอพิเดอร์มิสด้านบน (Upper epidermis) ด้วย
2.ชั้นมีโซฟิลล์ (Mesophyll)
อาจเรียกว่าเป็นชั้นของเนื้อใบ หรือชั้นที่อยู่ระหว่างเอพิเดอร์มิสชั้นบนกับชั้นล่าง เนื้อเยื่อส่วนใหญ่เป็นประเภทพาเรงคิมาที่มีคลอโรฟิลล์อยู่ด้วย เรียกว่า คลอเรงคิมา (Chlorenchyma = Chloroplast + Parenchyma) มีโซฟิลล์ สามารถแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ2.1 พาลิเซด มีโซฟิลล์ (Palisade Mesophyll)
เป็นชั้นที่อยู่ใต้เอพิเดอร์มิสด้านบนลงมา ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะยาวและแคบ เรียงตัวตั้งฉากกับเอพิเดอร์มิสด้านบน เซลล์เรียงตัวกันเป็นแถวแน่น มีคลอโรพลาสต์เป็นส่วนประกอบภายในอย่างหนาแน่น จึงมองดูเป็นสีเขียวเข้ม
2.2 สปองจี มีโซฟิลล์ (Spongy Mesophyll)
เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากพาลิเซดลงมาและอยู่เหนือเอพิเดอร์มิสทางด้านล่างขึ้นมา มีลักษณะการเรียงตัวของเซลล์อย่างหละหลวม ไม่เป็นระเบียบ รูปร่างเซลล์ค่อนข้างที่จะกลม และมีช่องว่างระหว่างเซลล์เหล่านี้มาก ผิวของเซลล์จึงมีโอกาสสัมผัสกับอากาศได้มาก ทำให้อากาศเกิดการแพร่เข้าออกได้อย่างสะดวก แต่ในเซลล์มีปริมาณคลอโรพลาสต์น้อยกว่าเซลล์พาลิเซด จึงทำให้ด้านล่างหรือท้องใบ มีสีเขียวที่น้อยกว่า(จางกว่า)ด้านหลังหรือบนใบ
3.มัดท่อลำเลียง (Vascular bundle)
มักฝังตัวอยู่ตามเส้นใบขนาดต่างๆ ที่อยู่ภายในใบ ประกอบไปด้วยไซเลม และ โฟลเอ็ม มาเรียงต่อกันเป็นเส้นใบ โดยที่ไซเลม (Xylem) จะอยู่ทางด้านบน และโฟลเอ็ม (Phloem) จะอยู่ทางด้านล่างมัดท่อลำเลียงจะมีกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า บันเดิลชีส (Bundle sheath) ล้อมรอบ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับท่อลำเลียง ส่วนใหญ่มัดท่อลำเลียง จะอยู่ในชั้นสปองจี มีโซฟิลล์ จึงเห็นเป็นเส้นนูนออกมาทางท้องใบ
(กดที่ภาพ เพื่อดูภาพขนาดที่ใหญ่กว่า)
โครงสร้างภายในของลำต้น
โครงสร้างภายในของลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่
เมื่อนำต้นมะละกอ ซึ่งเป็นพืชที่เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ มาตัดตามขวางแล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่ามีเนื้อเยื่อชั้นต่างๆ อยู่เรียงตัวตั้งแต่ชั้นนอกเข้าไปชั้นในได้ดังต่อไปนี้
1.ชั้นเอพิเดอร์มิส (Epidermis)
เป็นชั้นที่อยู่ด้านนอกสุดของลำต้นพืช ปกติมีอยู่เพียงแถวเดียว ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์คุม (Guard cell) ขนหรือหนาม ด้านนอกของชั้นเอพิเดอร์มิสนี้ ยังมีสารคิวทินเคลือบอยู่อีกด้วย
2.ชั้นคอร์เทกซ์ (Cortex)
ชั้นคอร์แทกซ์ในลำต้นของมะละกอจะมีลักษณะที่แคบกว่าชั้นคอร์เทกซ์ในราก ซึ่งเซลล์ในชั้นนี้ โดยส่วนมากเป็นเซลล์ประเภทพาเรงคิมา (Parenchyma) ส่วนเซลล์ที่อยู่ติดกับเอพิเดอร์มิส 2-3 แถวถัดเข้ามา เป็นเซลล์ประเภทคอลเลงคิมา (Collenchyma) ที่ช่วยให้ลำต้นมีความแข็งแรงขึ้น ในลำต้นยังมีเนื้อเยื่อสเกลอเรงคิมา (Sclerenchyma) แทรกตัวอยู่ทั่วไป
การแตกกิ่งของลำต้นนั้นมาจากชั้นคอร์เทกซ์นี้ด้วย ชั้นคอร์เทกซ์สิ้นสุดที่เอนโดเดอร์มิส ซึ่งในลำต้นส่วนใหญ่จะมองเห็นเอนโดเดอร์มิสได้ไม่ชัดเจนหรือบางลำต้นอาจจะไม่มีเลย
3.ชั้นสตีล (stele)
ในลำต้น ชั้นนี้อาจจะกว้างมากจนไม่สามารถแบ่งแยกออกจากชั้นคอร์เทกซ์ได้ชัดเจน ชั้นสตีลยังมีส่วนประกอบต่างๆต่อไปนี้
3.1 วาสคิวลาร์บันเดิล หรือ มัดท่อลำเลียง (vascular bundle)
ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อไซเลม (Xylem) ซึ่งอยู่ด้านในติดกับพิธ และเนื้อเยื่อโฟลเอ็ม (Phloem) ซึ่งอยู่ด้านนอก ติดกับคอร์เทกซ์ มัดท่อลำเลียงของมะละกอและพืชใบเลี้ยงคู่จะมีลักษณะเรียงตัวกันในแนวรัศมีเดียวกัน และเรียงตัวอยู่รายล้อมรอบลำต้นอย่างเป็นระเบียบ ระหว่างเนื้อเยื่อทั้งสองชนิดนี้ มีเนื้อเยื่อวาสคิวลาร์ แคมเบียม (vascular cambium) กั้นอยู่ตรงกลางอีกด้วย และยังทำให้ทราบได้อีกด้วยว่า มะละกอมีการเจริญเติบโตต่อไปในขั้นที่สอง หรือการเจริญขั้นทุติยภูมิอีกด้วย3.2 พิธ (Pith)
เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านในสุดของลำต้น เนื้อเยื่อส่วนนี้คือพาเริงคิมา (Parenchyma) ทำหน้าที่สะสมอาหาร จำพวกแป้งหรือสารอื่นๆ เช่น ลิกนิน ผลึกแทนนิน เป็นต้นวันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556
ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับมะละกอ
มะละกอ
เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง ถูกนำเข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วเนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม นิยมนำมารับประทานทั้งสดและนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ ฯลฯ หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ได้ลักษณะทั่วไป
มะละกอเป็นไม้ล้มลุก (บางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไม้ยืนต้น) ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว 5-9 แฉก เกาะกลุ่มอยู่ด้านบนสุดของลำต้น ภายในก้านใบและใบมียางเหนียวสีขาวอยู่ มะละกอบางต้นอาจมีดอกเพียงเพศเดียว แต่บางต้นอาจมีดอกได้ทั้งสองเพศก็ได้ ผลเป็นรูปรี อาจหนักได้ถึง 9 กิโลกรัม ผลดิบมีสีเขียว และมีน้ำยางสีขาวสะสมอยู่ที่เปลือก ส่วนผลสุก เนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม มีเมล็ดสีดำเล็ก ๆ อยู่ภายในกินไม่ได้ประโยชน์
นอกจากการนำมะละกอไปรับประทานสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม ฯลฯ หรือนำไปหมักเนื้อให้นุ่มได้อีกด้วย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า พาเพน (Papain) ซึ่งสามารถนำเอนไซม์ชนิดนี้ไปใส่ในผงหมักเนื้อสำเร็จรูป บางครั้งนำไปทำเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยก็ได้- สำหรับสารอาหารในมะละกอนั้น มีดังต่อไปนี้
สารอาหาร | ปริมาณสารอาหารต่อมะละกอสุก 100 กรัม |
โปรตีน | 0.5 กรัม |
ไขมัน | 0.1 กรัม |
แคลเซียม | 24 มิลลิกรัม |
ฟอสฟอรัส | 22 มิลลิกรัม |
เหล็ก | 0.6 มิลลิกรัม |
โซเดียม | 4 มิลลิกรัม |
ไทอะมีน | 0.04 มิลลิกรัม |
ไรโบฟลาวิน | 0.04 มิลลิกรัม |
ไนอะซิน | 0.4 มิลลิกรัม |
กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) | 70 มิลลิกรัม |
สรรพคุณของมะละกอ
สรรพคุณของมะละกอมีมากมายนัก ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้ 1. แก้อาการขัดเบา ใช้รากสด (1 กำมือ) 70-90 กรัม รากแห้ง 25-35 กรัม หั่นต้มกับน้ำ กรองดื่มเฉพาะน้ำ วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา(75 มิลลิลิตร) ดื่มก่อนอาหาร
2. เป็นยาระบายอ่อนๆ การกินเนื้อมะละกอสุก ช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะไปช่วยเพิ่มจำนวนกากไยอาหาร ดังนั้นเนื้อผลสุกมะละกอจะช่วยระบายอ่อนๆ แก้ท้องผูก
สรรพคุณ มะละกอ :
ผลสุก - เป็นมีสรรพคุณป้องกัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย
ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อยโปรตีน ฆ่าพยาธิได้
รากมะละกอ - ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
ใช้เป็นยาระบาย :ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้
เป็นยาช่วยย่อย: 1. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง เป้นผักจิ้ม 2. ยางจากผลดิบ หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 กรัม หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อย เพราะในยางมะละกอมีสารที่เรียกว่า Papain
เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน: ใช้มะละกอสุกรับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซีสูง
เท้าบวม: เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้
แก้เคล็ดขัดยอก: ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก
โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน: ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก
คันเพราะพิษของหอยคัน: ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย
เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง: รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ
ถ้าโดนตะปูตำเป็นแผล: ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง
แก้ผดผืนคัน: ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อยๆ กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปือย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้
ทักทาย
กราบสวัสดี......!!
สวัสดีทุกท่าน ที่เข้ามาเยี่ยมชมบล๊อกแห่งนี้ขอต้อนรับทุกท่าน สู่ บล๊อกอิสระ
สร้างสำหรับชิ้นงานวิชาชีววิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕รหัสวิชา ว ๓๒๒๔๒ ภาคปลาย ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๕
เนื้อหาสาระเน้นเรื่องโครงสร้างและการทำงานของพืช ที่เราได้ศึกษากันอย่างละเอียดในห้อง
ทำให้เราทราบว่า พืชก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอะไรที่เราน่าศึกษาค้นคว้าอีกเยอะ อิอิ...
สำหรับต้นไม้ที่เรานำมาศึกษาและทดสอบนั้น คือ ต้นมะละกอ
นั่นเอง...........................................!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)